อยากมีผิวเปล่งปลั่ง สดใส กับสูตรแครอต มาส์ก (Lisa)
แครอทอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จึงช่วยเสริมสร้างให้ผิวสามารถผลิตคอลลาเจนขึ้นมาได้ดีขึ้น ฉะนั้น ถ้าคุณอยากมีผิวที่ดูเปล่งปลั่งสดใสล่ะก็ อย่าลืมมาส์กหน้าด้วยแครอทสูตรของเรานี้
ส่วนผสม : น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแครอท 1/2 ช้อนชา เบคกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ : คนส่วนผสมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แล้วนวดเบา ๆ ลงบนผิวที่สะอาดและแห้งบนใบหน้าและลำคอ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20 ถึง 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากนั้นตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ตามปกติของคุณ
สูตรแครอทมาส์ก เพื่อผิวเปล่งปลั่ง สดใส
วิธีลบรอยดำ อำพรางผิว
รอยดำที่เกิดขึ้นหลังเป็นสิวนั้น เกิดจากกลไกหลัก ๆ 2 กลไกด้วยกันค่ะ หนึ่งคือ การอักเสบอันแสนเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากสิว ได้ส่งสัญญาณไปยังเซลล์สร้างเม็ดสี ให้ขยันสร้างเม็ดสีและส่งเม็ดสีออกไปยังเซลล์ผิวหนังมากขึ้น และสองคือ การอักเสบได้ทำลายเซลล์ผิวหนังที่มีเม็ดสีสะสมอยู่แล้วให้แตกออก เกิดการร่วงหล่นกระเด็นของเม็ดสีไปอยู่ที่ชั้นหนังแท้ ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวมาเก็บกินเม็ดสีและตกค้างกันอยู่ในชั้นหนังแท้ ซึ่งกลไกที่สองนี้จะเกิดในกรณีที่มีการอักเสบมาก และส่งผลให้รอยดำติดทนนานรักษายากกว่า แต่ก็ไม่มีอะไรจะยากเกินกว่าที่เทคโนโลยีจะแก้ไขได้ ดังนั้นคุณแม่ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ เรามาดูวิธีรักษารอยดำกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
ยาทา
เราเรียกยาในกลุ่มนี้ว่า Whitening agents ซึ่งมีสารให้เลือกใช้หลายตัวมาก ทั้งหน้าเก่าอย่าง วิตามินเอ ซี บี3 อาร์บูติน กรดโคจิก ลิโคริซ และหน้าใหม่ ๆ อย่าง กรดเอลลาจิก(Ellagic acid) และกรดทรานนิกซามิก(Tranexamic acid) ซึ่งประสิทธิภาพของยาแต่ละตัวนั้นขึ้นกับสูตรการปรุงและความเข้มข้น การจะเลือกใช้ตัวไหนต้องขึ้นกับสภาพผิวของคุณแม่แต่ละท่าน แต่ในคุณแม่ที่ให้นมบุตรควรใช้เป็นกลุ่มเก่าที่มีการศึกษามายาวนานกว่า เช่น วิตามินซี วิตามินบี3 และยาทากลุ่มที่ไม่ควรใช้ คือ ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) โดยเฉพาะในความเข้มข้นสูง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะฝ้า หน้าดำถาวรได้!
ครีมกันแดด
การทาครีมกันแดดที่มีค่าปกป้อง SPF30 PA+++ ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน ช่วยป้องกันไม่ให้รังสียูวีมากระตุ้นการสร้างเม็ดสีเพิ่มเติมได้ จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีซึ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้รอยดำจางเร็วขึ้นค่ะ
ผลัดเซลล์ผิวด้วยกรด
เป็นการใช้กรดเร่งการขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ด่างดำหมองคล้ำออก โดยตัวที่นิยมใช้รักษารอยดำกันในปัจจุบัน คือ กรดไกลโคลิก(Glycolic acid) ซึ่งในรูปแบบความเข้มข้นต่ำ ๆ จะมีผสมอยู่ในครีมกลุ่มไวท์เทนนิ่งบางแบรนด์ ส่วนความเข้มข้มสูง ๆ ควรทาโดยอยู่ในความดูแลของแพทย์ การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้มีข้อดี คือ นอกจากจะช่วยลดรอยด่างดำแล้ว ยังช่วยให้หน้าใสและรูขุมขนกระชับขึ้นได้ แต่ก็มีข้อเสีย คือ ในคนที่ผิวบอบบาง อาจมีอาการแสบหรือระคายเคืองได้ง่าย โดยเฉพาะผิวบริเวณรอบดวงตา
เลเซอร์/แสงความเข้มสูง
การใช้เลเซอร์หรือแสงความเข้มสูงอย่าง IPL(Intense Pulsed Light) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษารอยดำที่ให้ผลเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงสำคัญสองเรื่อง หนึ่งคือเสี่ยงต่อผิวไหม้หากใช้พลังงานสูง แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการไหม้ชั้นตื้น ๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดแผลเป็นถาวร และเครื่องรุ่นใหม่ ๆ จะมีเทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ลงได้ แต่ความเสี่ยงที่สองคือ เสี่ยงต่อสุขภาพกระเป๋าสตางค์นั้น ต้องแล้วแต่คุณแม่ประเมินความเสี่ยงกันเองนะคะ
5 ประโยชน์ของใยขัดตัว
1. ทำความสะอาดผิวได้หมดจด
ใยขัดตัวเป็นตาข่ายหยาบ ๆ ที่เมื่อใช้ขัดถูตัวร่วมกับสบู่หรือครีมอาบน้ำแล้ว จะช่วยให้คุณสามารถทำความสะอาดผิวได้หมดจด มันช่วยขัดถูเอาแบคทีเรีย คราบเหงื่อไคล รวมไปจนถึงฝุ่นผงหรือสิ่งสกปรกเล็ก ๆ ที่ติดค้างอยู่ที่รูขุมขนออกไปได้ อาบเสร็จแล้วจะรู้สึกสะอาดและสบายผิวกว่าการฟอกสบู่แบบธรรมดาเยอะเลย
2. ช่วยสครับผิวไปในตัว
การใช้ใยขัดตัวในการอาบน้ำ ถือเป็นการสครับผิวแบบประจำวันได้เลย โดยเฉพาะผิวส่วนที่หยาบและคล้ำง่ายอย่างข้อศอก หัวเข่า หรือตาตุ่ม ใยขัดผิวก็สามารถสครับได้อย่างอ่อนโยน และทำได้บ่อยทุก ๆ วันด้วย
3. ขัดตัวแล้วผิวเนียนนุ่ม
เมื่อได้ใช้ใยขัดตัวในการอาบน้ำเป็นประจำทุกวัน ผิวของคุณก็จะสะอาดหมดจด ไม่มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่บนผิว จึงทำให้ผิวของคุณเนียนแถมยังนุ่มขึ้นด้วย
4. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดช่วยให้ผ่อนคลายสบายตัว
การขัดตัวเบา ๆ ด้วยใยขัดตัวระหว่างการอาบน้ำ ก็เท่ากับได้กระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนัง จึงทำให้ผ่อนคลายสบายผิว และช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส เดินออกจากห้องน้ำอย่างตัวเบาหวิวเลยล่ะค่ะ
4 วิธี ช่วยให้ผิวคุณสวยไปตลอดกาล
4 วิธี ช่วยให้ผิวคุณสวยไปตลอดกาล
1. กินดี
ไม่มีอะไรที่จะมาทดแทนการกินอาหารที่มีประโยชน์กับผิวได้ การกินอาหารในปริมาณที่เหมาะสม และได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อผิว อันได้แก่ วิตามิน A, C, E และ K จะส่งผลดีต่อสุขภาพผิวของคุณมาก ทั้งช่วยลดการผลิตน้ำมัน และทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดี ริ้วรอยแห่งวัย สามารถป้องกันได้ ด้วยการกินอาหารอย่าง ไข่ แอพพริคอต แครอท แคนตาลูป สตรอว์เบอร์รี ผลไม้ตระกูลซิตรัส ข้าวไม่ขัดสี ชาเขียว และถั่วต่าง ๆ ซึ่งให้กรดไขมันจำเป็น โปรตีนนั้นก็ดีต่อการสร้างผิวใหม่ และการบำรุงซ่อมแซมผิวที่ทรุดโทรม รวมทั้งไขมันเอง หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะมีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบของผิวหนังได้ด้วย ในขณะที่อาหารอีกสองจำพวก ได้แก่ แป้งและน้ำตาล ไม่ค่อยส่งผลดีต่อผิวมากเท่าใดนัก
2. ดูแลดี
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวบางประเภท ประกอบไปด้วยสารเคมีที่แรงเกินไปสำหรับผิว แทนที่จะทำความสะอาดให้ผิวเกลี้ยงเกลา กลับส่งผลทำร้ายผิว ด้วยการชะน้ำมันธรรมชาติของผิวออกไป เช่นเดียวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง จึงทำให้ผิวกร้าน และเหี่ยวไว ในทำนองเดียวกันกับการอาบน้ำอุ่นจัด การล้างและขัดถูใบหน้าเกินความจำเป็น การสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ ก็ทำร้ายผิวได้ ยิ่งประการสุดท้าย ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิว หรือเป็นผื่นได้ด้วย
3. หนีแดดจ้า
แม้แสงแดดจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อช่วยในการสังเคราะห์วิตามิน D แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับแดด ก็ควรเป็นเพียงแดดยามสาย หรือยามบ่ายแก่ ๆ แค่วันละ 15 นาที เท่านั้นก็เพียงพอ การปะทะกับแดดจ้าบ่อย ๆ จะเร่งให้เกิดกระ ฝ้า ผิวแห้ง ตามมาด้วยรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ซ้ำร้ายอาจสะสมกลายเป็นมะเร็งผิวหนังในภายภาคหน้า ทางที่ดีเราจึงควรหลบแดดจ้า ไม่ว่าจะเป็นการสวมเสื้อคลุมให้มิดชิด กางร่ม ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยปกป้องผิวได้ในระยะยาวเป็นอย่างดี
4. บอกลาความเครียด
สาเหตุของความเครียดนั้นมาได้ทั้งจากเรื่องหน้าที่การงาน และเรื่องส่วนตัว มันจึงเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราเหลือเกิน นอกจากนี้ทั้งความเครียดกอปรเข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ที่อะไร ๆ ก็เป็นไปอย่างฉับไว รวดเร็ว แต่กลับทำให้เรามีเวลานอนน้อยลง เวลาสำหรับเลือกสรรหาอาหารดี ๆ กินมีน้อยลง เวลาที่จะได้ดูแลร่างกายและจิตใจของตัวเองหดลงไปหมดทุกทาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาสู่ปัญหาผิว เริ่มตั้งแต่ผิวหมองคล้ำ ขาดน้ำ ผิวโทรมและฟื้นตัวยาก บ่อย ๆ เข้าผิวจึงดูโรยราแบบถาวร เพราะฉะนั้นหากเป็นไปได้ เลือกที่จะทิ้งความเครียดและความยุ่งเหยิงไว้ หรือตั้งรับจัดการกับมันอย่างมีสติ แก้ไขสาเหตุของปัญหา และแบ่งเวลามาดูแลตัวเองด้วย ก็จะเป็นทางออกที่อยู่ตรงกลางพอดี ๆ และทำให้ผิวดีด้วยค่ะ
5 อาหารอันตราย...ที่ส่งผลต่อสุขภาพผิวของคุณ
ว่ากันว่าใบหน้าที่สวยงามต้องมาพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรง ประกอบกับหนุ่มสาวยุคใหม่หันมาดูแลและใส่ใจในอาหารที่รับประทานมากขึ้น โดยจะสังเกตได้จากการเลือกบริโภคอาหารที่หลากหลาย ขณะเดียวกัน อาหารที่รับประทานในแต่ละชนิด ก็ต้องให้คุณประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่ามีอาหารบางชนิดที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพผิว ดังนั้นหนุ่มสาวเฮลธ์ตี้ทั้งหลายจำเป็นต้องอัพเดตข้อมูลเพื่อให้อยู่ห่างจากอาหาร "ตัวร้าย" เหล่านี้ ซึ่งเคล็ดลับดังกล่าวถือเป็นตัวช่วยทางอ้อม ที่ทำให้คุณบริโภคเมนูโปรดได้อย่างไร้ความกังวล ลองมาดูรายการอาหารที่คุณควรเลี่ยงให้ไกล เพื่อสร้างผิวสวยกันดีกว่า
1. ผัก ผลไม้ ชนิดที่ไม่ใช่ "ปลอดสารพิษ"
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ในแต่ละวันนั้นคุณได้บริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมีเข้าไปสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นผู้บริโภคยุคใหม่ควรทำความเข้าใจว่า ผัก-ผลไม้เหล่านี้จะอุดมไปด้วยสารเร่งฮอร์โมน ที่จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตก่อนวัยอันควร และขณะเดียวกันเมื่อคุณรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไป หาได้มีคุณค่าหรือโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่ แต่มันจะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเสียหาย หรือไม่สามารถดักจับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารมีพิษเหล่านี้ จนส่งผลเสียต่อผิวสวย ๆ ของคุณได้
2. เนื้อสัตว์และนมที่ปนเปื้อนสารเร่งเจริญการเติบโต
ไก่หรือสัตว์ปีกที่เลี้ยงในฟาร์มจะถูกป้อนด้วยน้ำผสมสารสเตียรอยต์ และฉีดสารเร่งการเจริญเติบโต เช่นเดียวกันกับวัวและสัตว์ที่ใช้บริโภคชนิดอื่น ๆ ดังนั้น เมื่อเราบริโภคเนื้อสัตว์หรือนมวัวที่ได้รับสารเคมีเหล่านี้เข้าไป ก็จะทำให้ผิวของเรารับสารเคมีเหล่านี้เข้าไป โดยไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้ ซึ่งหากรับเข้าไปในปริมาณที่มาก จะสะสมและตกค้างในร่างกาย จนทำให้เกิดโรคร้ายตามมา เช่น มะเร็งผิวหนัง ฯลฯ
3. อาหารทอด
รู้ไว้เลยว่าอาหารทอดทุกชนิด เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ เมื่อคุณปรุงอาหารที่ต้องใส่น้ำมัน มันจะทำให้เกิดเป็นไขมันออกซิไดซ์ หรืออนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีกับร่างกายของเรา เพราะเมื่ออนุมูลอิสระไปรวมตัวกับไขมันในร่างกายชนิดที่ไม่ดี จะทำให้เกิดเป็นสารพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อในร่างกาย ไม่ว่าจะความเสื่อมของผิวพรรณ หรือเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ฉะนั้นหากสาวคนไหนที่อยากมีสุขภาพที่ดีปราศจากโรคอ้วน และมีผิวพรรณที่สดใสเปล่งปลั่ง แนะนำให้หลีกเลี่ยงบริโภคอาหารทอด แต่หันไปรับประทานอาหารต้มหรือนึ่งแทนจะดีกว่า
4. น้ำตาลเทียมและสีผสมอาหาร ตัวการก่อให้เกิดภูมิแพ้และผื่นคัน
น้ำตาลเทียมและสีผสมอาหาร ถือเป็นเครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารดูน่ารับประทาน และมีรสชาติมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คุณควรหลีกเหลี่ยงการบริโภคสารปรุงรสเหล่านี้ เพราะมันจะทำให้ผิวหนังของคุณเกิดอาการระคายเคือง โดยไปทำปฏิกิริยากับสารฮีสตามีน หรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการคัน ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง
5. น้ำตาล
สำหรับคนรักสุขภาพแนะนำว่า ไม่ควรที่จะบริโภคน้ำตาลมากจนเกินไป เพราะน้ำตาลไปทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง หรือไปรบกวนการทำงานของระบบฮอร์โมนในร่างกายจนเกิดเป็นสิว หรือเม็ดผื่นแดงที่ไม่พึงประสงค์ของหนุ่มสาวหลายคน ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะรักษารูปร่างให้ดูดี และมีผิวหน้าที่งดงามตลอดไป ต้องรู้จักเลือกบริโภคอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เพราะทุกอย่างที่คุณรับประทานเข้าไป ล้วนแล้วแต่ส่งผลทั้งต่อร่างกายและผิวพรรณของคุณได้
5 ความเชื่อผิด ๆ เรื่องความงาม
1.ชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนจรดปลาย : โดยปกติเวลาสระผมเรามักจะชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนเวลาใช้แชมพูสระผม แต่แท้จริงแล้วบริเวณโคนผมจะแข็งแรงเนื่องจากเพิ่งงอกใหม่ ส่วนปลายผมต่างหากที่ต้องการการดูแล เพราะงอกออกมานานแล้ว และเป็นส่วนที่ได้รับความเสียหาย การชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนผมจะทำให้ผมมันและดูลีบแบน ทางที่ดีควรชโลมครีมนวดผมบริเวณหูลงไปจรดปลายผม ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผมมีน้ำหนักและไม่มันง่าย จึงไม่ต้องสระผมบ่อย
2.ลงรองพื้นทันทีหลังทาครีมบำรุงผิว : ความชุ่มชื้นในมอยส์เจอไรเซอร์จะทำให้แต่งหน้าติดไม่ทน ถ้าไม่รอให้มอยส์เจอไรเซอร์ซึมลงสู่ผิวเสียก่อน ดังนั้นหลังทาครีมบำรุงผิวแล้วควรรอประมาณ 60 วินาที ก่อนลงรองพื้น หรือหากไม่มีเวลาก็ให้ใช้กระดาษทิชชูซับหน้าเบา ๆ แล้วจึงลงรองพื้น
3.ถอนขนคิ้วใกล้ ๆ กระจก : การจ้องมองอะไรใกล้ ๆ จะทำให้เราไม่เห็นภาพรวมของสิ่ง ๆ นั้น ซึ่งเมื่อใช้วิธีนี้ถอนขนคิ้ว จึงมีโอกาสสูงที่คิ้วที่สองข้างจะไม่เท่ากัน หรือถอนจนคิ้วบางเกินไป ดังนั้นหากอยากให้คิ้วสวยเป็นรูปทรง ขณะถอนควรส่องกระจกใหญ่ ๆ ที่วางใกล้หน้าต่าง คอยถอยออกมาจากกระจกเพื่อดูรูปทรงของคิ้วอยู่เสมอ และควรถอนขนคิ้วให้มีรูปทรงและขนาดที่เข้ากับใบหน้าเพื่อความสมดุลและเป็นธรรมชาติ
4.ทามอยส์เจอไรเซอร์รอบดวงตาเพื่อลดอาการบวม : ความชุ่มชื้นในครีมจะเพิ่มน้ำให้ผิว ดังนั้นการทามอยส์เจอไรเซอร์อาจทำให้รอบดวงตาบวมยิ่งกว่าเดิม ถ้ารอบดวงตาบวมแต่ไม่แดงหรือระคายเคืองให้ใช้น้ำแข็งประคบเป็นเวลา 10-15 นาที หรือใช้อายเจลที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แต่ถ้ารอบดวงตาบวมแดงและคันสันนิษฐานได้ว่าเกิดจากการแพ้อะไรสักอย่าง
กระแดด รักษาได้ด้วย 5 สูตรธรรมชาติ
กระแดด รักษาได้ด้วย 5 สูตรธรรมชาติ (สุขกายสบายใจ)
กระแดด ขึ้นเป็นดวงสีน้ำตาล ผิวเรียบ ส่วนใหญ่พบในคนสูงอายุ หรือคนที่ทำงานกลางแจ้ง และเป็นกระประเภทเดียวที่สามารถบรรเทาให้จางลงจนมองไม่เห็นได้
1. กระเทียม : หั่นให้มีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว แปะเฉพาะบริเวณที่เป็นกระเท่านั้น แปะไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วล้างหน้าตามปกติ เว้นช่วงทำทุก ๆ 3 วัน
2. ว่านหางจระเข้
เจลว่านหางจระเข้ บีบออกมาประมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว แล้วนวดบริเวณที่เป็นกระ วันละ 2 เวลา
สมุนไพรว่านหางจระเข้ ตัดเอาส่วนวุ้นมาปั่นให้ละเอียด แล้วแต้มบริเวณที่เป็นกระเหมือนทาครีมได้เลย
3. ใบกะเพราแห้ง : ปั่นใบกะเพราแห้งให้ได้ 3-4 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำต้มสุกลงไป 100 มิลลิกรัม คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำไปแช่เย็น ใช้ทา 2 ครั้งต่อวัน
4. น้ำเลมอน : คั้นน้ำเลมอน แต้มกระทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างหน้าออกตามปกติ ซับให้แห้ง อาจทาครีมบำรุงผิวหน้าที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ผิวหน้าชุ่มชื้น
5. นมเปรี้ยว : แนะนำให้ใช้รสธรรมชาติ เพราะมีปริมาณกรดแลคติกสูงกว่าชนิดที่มีรสชาติ ใช้แต้มที่กระเล็กน้อย แล้วล้างหน้าออกตามปกติ